วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

การประหยัดพลังงาน

              เมื่อกล่าวถึงการประหยัดพลังงาน ทุกคนจะนึกถึงการลดการใช้พลังงานน้ำมัน หรือลดการใช้พลังงานไฟฟ้า เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของทุกคนและน่าจะเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ง่ายที่สุดและเห็นผลได้ชัดเจนที่สุด เช่น ค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันในแต่ละเดือนลดลง ค่าไฟฟ้าแต่ละเดือนลดลง เมื่อเป็นเช่นนั้นก็สามารถสรุปได้ว่าเราได้ประหยัดพลังงานแล้ว แต่จริงๆ แล้ว ยังมีอีกหลากหลายวิธีที่เราสามารถช่วยกันประหยัดพลังงานและเป็นวิธีง่ายๆ ที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวเองทั้งสิ้น แต่ก่อนที่เราจะรู้วิธีประหยัดพลังงานแบบง่ายๆ เราควรจะทำความรู้จักกับเจ้าพลังงานกันก่อน
 
พลังงาน (Energy) หมายถึง พลังต่างๆ ที่นำมาใช้ให้เกิดงาน พลังต่างๆ เช่น ไฟฟ้า น้ำมัน ถ่าน ฟืน ลม แสงอาทิตย์ เป็นต้น พลังงานแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. พลังงานใช้แล้วหมด หรือที่เรียกกันว่า พลังงานฟอสซิล ซึ่งเป็นพลังงานสิ้นเปลือง พลังงานพวกนี้ได้แก่ น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ
2.พลังงานใช้ไม่หมด หรือพลังงานหมุนเวียน ได้แก่ แกลบ ชานอ้อย ชีวมวล (เช่น มูลสัตว์ และก๊าซชีวภาพ) น้ำ แสงอาทิตย์ คลื่น

พลังงานไฟฟ้า เป็นพลังงานที่เปลี่ยนมาจากพลังงานรูปอื่น ซึ่งเกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนผ่านตัวนำไฟฟ้า โดยอิเล็กตรอนเคลื่อนจากขั้วที่จ่ายอิเล็กตรอนได้ดีไปสูขั้วที่รับอิเล็กตรอนได้ดี(ขั้วลบไปหาขั้วบวก)แต่ไฟฟ้าเป็นกระแสสมมุติเคลื่อนสวนทางกับอิเล็กตรอนจากขั้วบวกไปขั้วลบ
พลังงานน้ำมัน เป็นพลังงานที่เกิดจากซากสัตว์และซากพืชที่ตายมานานเป็นล้านปี ทับถมสะสมกันจมอยู่ใต้ดิน แล้วเปลี่ยนรูปเป็น “ฟอสซิล” ซึ่งระหว่างนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติจนฟอสซิลกลายเป็นน้ำมันดิบ ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ เราจึงเรียนเชื้อเพลิงประเภทนี้ว่า “เชื้อเพลิงฟอสซิล”
พลังงานเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตของประชาชนทั่วโลก เป็นปัจจัยที่ทำให้โลกมีการพัฒนาขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ พลังงานได้เป็นสิ่งที่มีความเป็นสากล เนื่องจากพลังงานเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อทุกๆ อย่าง และมีความสำคัญต่อทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของโลก
เมื่อเราได้รู้จักกับพลังงานและรู้ถึงความสำคัญของพลังงานกันแล้ว ก็น่าจะถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหันมาช่วยกัน ประหยัดพลังงาน เพื่อให้สามารถมีพลังงานใช้ได้ตลอดไป ด้วยวิธีการง่ายๆ คือ

1.ด้านประหยัดพลังงานไฟฟ้า
     1.1    คอมพิวเตอร์
                 - ไม่เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้นาน ๆ            
                 - ถอดปลั๊กเมื่อเลิกใช้งาน
                 - ปิดจอภาพเมื่อไม่ใช้งานนานเกินกว่า 15 นาที
                 - ตั้งคอมพิวเตอร์ในบริเวณที่มีการระบายความร้อนได้ดี
                 - เลือกใช้คอมพิวเตอร์ที่มีระบบประหยัดพลังงานมีสัญลักษณ์ Energy Star
                 - ควรซื้อจอภาพที่มีขนาดไม่ใหญ่เกินไป

     1.2    โทรทัศน์
                 - เลิกเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้เมื่อไม่มีคนดู
                 - เลิกปรับจอภาพให้สว่างเกินความจำเป็น
                 - เลิกเปิดโทรทัศน์หลายเครื่องเพื่อดูเรื่องเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน
                 - เลิกปิดโทรทัศน์ด้วยตัวรีโมทคอนโทรล เพราะเปลืองไฟกว่า
                - เลือกซื้อโทรทัศน์ขนาดให้เหมาะสมกับความจำเป็น
   1.3    เครื่องปรับอากาศ
               - ตั้งอุณหภูมิที่ระดับร่างกายรู้สึกสบาย โดยไม่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส
               - ถ้าไม่อยู่ในห้องมากกว่า 1 ชั่วโมง ควรปิดเครื่องปรับอากาศ
               - ไม่ปลูกต้นไม้หรือตากผ้าในห้องที่มีการปรับอากาศ เพราะไปเพิ่มความชื้น ทำให้เครื่องทำงานหนักขึ้น
             - หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้มีฝุ่นเกาะ
             - อย่านำสิ่งของไปวางขวางทางลมเข้า - ออก ของชุดระบายความร้อนที่อยู่นอกบ้าน
            - อย่าติดตั้งชุดระบายความร้อนใกล้ผนังเกินไป            
            - เลือกขนาดเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมกับห้อง
     1.4    หลอดไฟฟ้า

          - ปิดหลอดไฟบางบริเวณให้เร็วกว่าที่เคยปฏิบัติ
          - อย่าเปิดไฟทิ้งไว้เมื่อไม่มีคนอยู่
          - ลดจำนวนหลอดไฟในบริเวณที่อาศัยแสงธรรมชาติได้
          - อย่าใช้หลอดไฟที่ไม่ได้มาตรฐาน
          - หมั่นทำความสะอาดตัวหลอดและโคมไฟไม่ให้มีฝุ่นเกาะ
     1.5    พัดลม

          - เลิกเปิดทิ้งไว้เมื่อไม่มีใครอยู่
          - ถ้าใช้พัดลมที่มีระบบรีโมทคอนโทรลต้องถอดปลั๊กทันทีที่เลิกใช้
          - ยิ่งเปิดลมแรงขึ้น ยิ่งใช้ไฟมากขึ้น
          - ทำความสะอาดใบพัด ตะแกรงครอบและแผงหุ้มมอเตอร์พัดลม อย่าให้มีฝุ่นเกาะ
          - ตั้งพัดลมในที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
     1.6    กระติกน้ำร้อน

          - เลิกใส่น้ำเกินกว่าที่ต้องการใช้
          - อย่าเสียบปลั๊กทิ้งไว้นานก่อนการใช้งานจริง
          - เลิกต้มน้ำในห้องที่มีการปรับอากาศ
          - ถอดปลั๊กทันทีที่เลิกใช้
          - อย่านำน้ำเย็นไปต้มทันที

2.ด้านประหยัดพลังงานน้ำมัน

          - วางแผนกำหนดเส้นทางเป้าหมายก่อนออกเดินทาง
          - ไม่ควรบรรทุกหนักเกินไป หลีกเลี่ยงการบรรทุกสิ่งของที่ไม่จำเป็น
          - ตรวจวัดลมยางอยู่เสมอ ปรับลมยางให้เหมาะสมตามมาตรฐานที่ผู้ผลิตรถยนต์แนะนำในคู่มือการใช้รถ
          - ตรวจรถยนต์ประจำวัน โดยใช้เวลาอย่างน้อย 2 - 3 นาทีในแต่ละวัน ตรวจจุดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของรถก่อนออกเดินทาง
          - ปิดเครื่องปรับอากาศ ไฟหน้ารถ เครื่องเสียงทุกครั้งก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์
          - ทางเดียวกันไปรถคันเดียวกัน
          - ทุกครั้งก่อนจะออกรถควรอุ่นเครื่องยนต์ให้เครื่องทำงานถึงอุณหภูมิปกติ (ประมาณ 80 องศาเซลเซียส) หรือเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ให้ทำงานแล้วควรปล่อยทิ้งไว้ 1 – 2 นาที                    
          - ไม่ควรออกรถกระชากและเลี้ยวอย่างกะทันหัน
          - เลือกใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็ว
          - ไม่ควรเบรกอย่างรุนแรง
          - อย่าเหยียบคลัตช์โดยไม่จำเป็น เพื่อป้องกันไม่ให้แผ่นคลัตช์สึกหรอเร็ว
          - ขับรถที่ความเร็วประหยัด ควรขับรถด้วยความเร็วสม่ำเสมอในอัตราที่เหมาะสม คือ 80 – 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 1,800 รอบต่อนาที              
          - ควรเปิดเครื่องปรับอากาศแต่พอเหมาะ ปรับปุ่มความเย็นและความแรงลมให้สัมพันธ์กัน
          - ไม่ควรติดเครื่องยนต์ระหว่างจอดรถรอ

จะเห็นได้ว่าการประหยัดพลังงานเป็นเรื่องที่ไม่ยากเลย และทุกคนสามารถทำได้ สามารถประหยัดพลังงานได้ด้วยตัวคุณเอง แต่ทุกคนจะต้องตระหนักถึงความสำคัญของการประหยัดพลังงานและที่สำคัญต้องมีการปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อที่จะได้มีพลังงานเหลือใช้ไปตลอดจนชั่วลูกชั่วหลานต่อไป

การประหยัดพลังงานในบ้าน

   1. ออกแบบบ้านและหันทิศทางของบ้านให้เหมาะสมเลือกซื้อบ้านหรือออกแบบบ้านที่มีลักษณะโปร่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก มีการระบายความร้อนได้ดี สำหรับทิศทางของบ้านควรหันหน้าไปในแนว ทิศเหนือ - ใต้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้แสงอาทิตย์เข้าสู่ช่องเปิดของอาคารโดยตรง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรใช้อุปกรณ์บังแดด เช่น ติดตั้งกันสาด หรือปลูกต้นไม้ช่วย และ สร้างบ้านด้วยวัสดุที่เป็นฉนวนกันความร้อนได้ดี ตั้งแต่หลังคาจนถึง กรอบผนัง2. ปลูกต้นไม้เพื่อให้ร่มเงาแก่ตัวบ้านจะช่วยลดการใช้ไฟฟ้าเพื่อปรับอากาศและถ่ายเทอากาศ

3. เลือกซื้อแต่อุปกรณ์ที่ประหยัดพลังงานเช่น เลือกซื้ออุปกรณ์ที่มีฉลากเบอร์ 5 เป็นต้น
4. ใช้น้ำอย่างประหยัด
น้ำประปาที่เราใช้มาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ แต่ผ่านกระบวนการกรองและ ฆ่าเชื้อจนสะอาดและบริโภคได้ ซึ่งต้องอาศัยพลังงานในกระบวนการเหล่านั้น ดังนั้น การใช้น้ำอย่างประหยัดจึงเป็นการประหยัดพลังงานด้วย
  • ใช้หัวก็อกที่มีตัวลดอัตราการไหลของน้ำให้อ่อนลง
  • ปิดก็อกน้ำในระหว่างแปรงฟัน สระผม หรือโกนหนวด
  • ใช้ไม้กวาดในการกวาดพื้นแทนการใช้น้ำฉีดเพื่อทำความสะอาด
  • ล้างรถด้วยน้ำถังและฟองน้ำ แทนการใช้สายยางฉีดน้ำ
  • ใช้น้ำจากการซักล้าง หรือถูพื้น เพื่อรดน้ำต้นไม้แทนการใช้น้ำประปา โดยตรง
  • 5. การใช้เตาก๊าซ
  • ควรเลือกใช้ถังก๊าซที่มีเครื่องหมายสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.)
  • ควรใช้สายยางหรือสายพลาสติกชนิดยาว และมีความยาว 1-1.5 เมตร
  • ตั้งเตาก๊าซให้ห่างถังก๊าซประมาณ 1-1.5 เมตร
  • ปิดวาล์วที่หัวเตาและหัวปรับความดันเมื่อเลิกใช้
  • 6.การใช้เตาถ่าน
  • ควรเลือกใช้เตาถ่านชนิดที่มีประสิทธิภาพสูง
  • เตรียมอาหารสด เครื่องปรุง และอุปกรณ์การทำอาหารให้พร้อมก่อนติดไฟ ไม่ควร ติดไฟรอนานเกินไปจะสิ้นเปลืองถ่าน
  • เลือกขนาดของหม้อหรือกะทะให้เหมาะสมกับปริมาณอาหารที่จะปรุง รวมทั้ง ประเภทของอาหารที่จะปรุง
  • ควรทุบถ่านให้มีขนาดพอเหมาะคือ ประมาณชิ้นละ 2-4 ซม.
  • ไม่ควรใช้ถ่านมากจนล้นเตา
  • อย่าใช้ถ่านที่เปียกชื้น จะติดไฟยากและสิ้นเปลือง
  • ขจัดขี้เถ้าในรังผึ้งออกให้หมดก่อนที่จะติดไฟทุกครั้งจะได้เผาไหม้ถ่านได้ดี
    7. การใช้หลอดแสงสว่าง
  • ปิดไฟเมื่อไม่ใช้งาน
  • หมั่นทำความสะอาดหลอดแสงสว่างและโคมไฟ
  • ใช้แสงสว่างเท่าที่จำเป็น ในกรณีที่ต้องใช้กับสถานที่ที่ต้องเปิดไฟทิ้งไว้ตลอดคืน ควรใช้หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์
  • บริเวณใดที่เคยใช้หลอดไส้ ควรหันมาเปลี่ยนเป็นหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์
  • ใช้หลอดประหยัดพลังงาน เช่น หลอดผอม (หลอดฟลูออเรสเซนต์) ซึ่ง ประหยัดพลังงานมากกว่าหลอดไส้ 4-5 เท่า และมีอายุการใช้งานนานกว่าหลอด ไส้ 8 เท่า
  • ใช้แสงธรรมชาติแทนการเปิดหลอดแสงสว่าง เช่น ห้องครัว ห้องเก็บของ ห้องน้ำ ทางเดิน เป็นต้น
  • ควรทาสีผนังหรือเลือกวัสดุพื้นห้องที่เป็นสีอ่อนๆเพื่อช่วยสะท้อนแสงสว่างภายในห้อง
    8. การใช้ตู้เย็น
  • เลือกใช้ตูเย็นที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5
  • เลือกใช้แบบที่มีฉนวนกันความร้อนชนิดโฟมฉีด
  • ตู้เย็นแบบประตูเดียว จะใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าแบบ 2 ประตู ในขนาดที่เท่ากัน
  • ใช้ขนาดให้เหมาะสมกับครอบครัว เช่น ครอบครัวขนาด 3-4 คน ควรใช้ตู้เย็น ขนาด4.5-6 คิว ท ควรตั้งให้ห่างจากฝาผนังไม่น้อยกว่า 15 ซม. และมีอากาศถ่ายเทได้ดี
  • ตั้งสวิตช์ควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสม เพราะยิ่งตั้งอุณหภูมิให้เย็นมาก ก็ยิ่งสิ้น
    เปลืองไฟฟ้ามาก
  • อย่าเปิดตู้เย็นบ่อยหรือเปิดไว้นานๆ
  • อย่านำของที่ยังมีความร้อนเข้าไปแช่
  • ละลายน้ำแข็งอย่างสม่ำเสมอ
  • หมั่นทำความสะอาดแผงความร้อนที่อยู่ด้านหลังของตู้เย็น

    9. การใช้เครื่องปรับอากาศ
  • เลือกขนาดที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น ห้องที่มีความสูงไม่เกิน 3 เมตร และมีพื้นที่ ห้องขนาด 13-15 ต.ร.ม. ควรใช้ขนาด 7,000-9,000 บีทียู/ชั่วโมง ขนาดพื้นที่ 16-17 ต.ร.ม. ควรใช้ขนาด 9,000-11,000 บีทียู/ชั่วโมง เป็นต้น
  • ใช้เครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดซึ่งแสดงด้วย EER (Energy Efficiency Ratio) คือ อัตราส่วนระหว่างความสามารถในการให้ความเย็น ของเครื่อง (บีทียู/ชั่วโมง) ต่อกำลังไฟฟ้า (วัตต์) ซื้อเครื่องที่มีค่า EERสูงซึ่ง จะให้ความเย็นมากแต่เสียค่าใช้จ่ายไฟฟ้าน้อยกว่าเครื่องที่มีค่า EER ต่ำ
  • ตั้งปุ่มปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม อย่าปรับอุณหภูมิให้ต่ำเกินไป โดยปกติ ควรตั้งที่อุณหภูมิ 25 ํC
  • หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศไม่ให้มีฝุ่นจับ เพราะจะทำให้ ประสิทธิภาพการทำความเย็นลดลง
  • เลือกใช้เครื่องปรับอากาศที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5

    10. การใช้เครื่องทำน้ำอุ่นสำหรับอาบน้ำ
  • ควรเลือกชนิดที่มีที่กักเก็บตุนน้ำร้อน เพราะจะใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าแบบน้ำไหลผ่านขด ลวดความร้อน
  • เลือกขนาดของเครื่องให้เหมาะสมกับครอบครัว เนื่องจากเป็นเครื่องที่ใช้ไฟฟ้ามาก
  • ไม่ควรเปิดเครื่องตลอเวลา โดยเฉพาะในเวลาถูสบู่ในขณะอาบน้ำ
  • ปิดวาล์วและสวิตช์ทันทีเมื่อเลิกใช้งาน

    11. การใช้กระติกน้ำร้อนไฟฟ้าหรือกาต้มน้ำไฟฟ้า
  • ใส่น้ำให้พอเหมาะและถ้าต้มน้ำต่อเนื่องควรมีน้ำบรรจุอยู่เสมอ
  • เมื่อเลิกใช้ควรถอดปลั๊กทันที โดยเฉพาะ
    - เมื่อน้ำเดือด
    - เมื่อไม่มีคนอยู่ เพราะนอกจากจะไม่ประหยัดพลังงานแล้วยังอาจทำให้เกิด อันตรายได้

    12. การใช้เตาไฟฟ้าและเตาอบ
  • ควรเตรียมเครื่องประกอบอาหารให้พร้อมรวมทั้งจัดลำดับการปรุงอาหาร
  • ไม่ควรเปิดเตาไฟฟ้ารอไว้นานเกินไป
  • ใช้ภาชนะประกอบอาหารให้เหมาะสม
    - ภาชนะควรมีก้นแบนราบ จะได้สัมผัสความร้อนได้ทั่วถึง
    - ภาชนะไม่ควรมีขนาดเล็กกว่าเตา จะสูญเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์
    - ภาชนะควรมีฝาครอบปิดขณะหุง จะช่วยให้อาหารสุกเร็วขึ้น
  • ปิดสวิตช์เตาไฟฟ้าก่อนเสร็จสิ้นการทำอาหาร ดึงปลั๊กออกทันทีเมื่อเลิกใช้
  • ควรเตรียมอาหารที่จะอบหลายๆ อย่างให้พร้อมกันในเวลาเดียวกัน
  • อย่าเปิดเตาอบบ่อยๆ เพราะการเปิดประตูแต่ละครั้งจะสูญเสียพลังงาน ประมาณร้อยละ 20

    13. การใช้เตารีดไฟฟ้า
  • ควรตั้งอุณหภูมิ (ความร้อน) ให้เหมาะสมกับชนิดผ้าและแบ่งผ้าชนิดเดียวกันไว้ด้วย กัน เพื่อหลีกเลี่ยงการปรับเปลี่ยนการตั้งอุณหภูมิบ่อยครั้ง
  • ควรรวบรวมผ้าไว้รีดคราวละมากๆ และพรมน้ำให้หมดทุกตัว ก่อนจะรีดผ้า
  • อย่าพรมน้ำจนเปียก เพราะจะทำให้ต้องรีดผ้านานกว่าเดิมสิ้นเปลืองไฟฟ้า
  • ก่อนรีดผ้าเสร็จควรดึงปลั๊กก่อน เนื่องจากยังมีความร้อนเหลืออยู่พอที่จะรีดต่อไปได้
  • เวลาตากผ้าควรจัดรูปทรงผ้าและดึงให้ตึง เพื่อให้เสื้อผ้ายับน้อยที่สุด จะทำให้รีดง่าย และประหยัดไฟฟ้า

    14. การใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้าอัตโนมัติ
  • เลือกใช้ขนาดที่เหมาะสมกับครอบครัว
  • ไม่ควรใช้เวลาในการอุ่นข้าวให้นานเกินควร ถอดปลั๊กออกทันทีที่เลิก ใช้งาน

    15. การใช้โทรทัศน์
  • โทรทัศน์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจะทำให้เสียค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
  • โทรทัศน์ที่มีระบบรีโมทคอนโทรลจะใช้ไฟฟ้ามากกว่าระบบทั่วไปในขนาดเดียวกัน เพราะมีวงจรเพิ่มและใช้ไฟฟ้าตลอดเวลาแม้ว่าจะไม่ใช้เครื่อง
  • ไม่ควรเสียบปลั๊กทิ้งไว้ ถ้าเสียบปลั๊กทิ้งไว้จะใช้ไฟฟ้าตลอดเวลา
  • โทรทัศน์ขาวดำจะใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าโทรทัศน์สี
  • ปิดเมื่อไม่มีคนดู
  • ควรตั้งเวลาปิดโทรทัศน์โดยอัตโนมัติ สำหรับเครื่องที่มีระบบตั้งเวลาปิด เพราะ จะช่วยประหยัดไฟสำหรับผู้ที่มักจะนอนไม่หลับหน้าโทรทัศน์หรือลืมปิดเครื่อง

    16. การใช้เครื่องซักผ้า
  • แช่ผ้าก่อนเขาเครื่อง ทำให้ง่ายต่อการซักผ้า
  • ผ้าที่ซักให้เป็นไปตามพิกัดของเครื่อง อย่าใส่ผ้ามากเกินกำลังของเครื่อง หรือซักจำนวนน้อยเกินไป
  • ไม่ควรใช้เครื่องซักผ้าแบบที่มีเครื่องอบแห้งด้วยไฟฟ้าในตัว เพราะสิ้นเปลืองไฟฟ้า มาก ควรตากผ้ากับแสงแดด หรือในที่มีลมโกรก

    17. การใช้เครื่องสูบน้ำ
  • ควรเลือกซื้อเครื่องสูบที่ถังความดันของเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่พอสมควร ถ้าเล็ก เกินไป สวิตช์อัตโนมัติจะทำงานบ่อยขึ้น มอเตอร์ทำงานมากขึ้นสิ้นเปลืองไฟฟ้า
  • ควรสร้างบ่อพักน้ำไว้ระดับพื้นดิน
  • หมั่นดูแลท่อน้ำประปา และถังพักน้ำของชักโครก อย่าให้ชำรุดหรือรั่ว เพราะจะทำ ให้เครื่องสูบน้ำทำงานบ่อย สิ้นเปลืองไฟฟ้า
  • ควรบำรุงรักษาเครื่องให้ดีอยู่เสมอ



  • คลิปการประหยัดพลังาน